เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราขวนขวายหาอยู่หากินของเรา วันพระ วันโกน เราจะหาบุญกุศลเข้าสู่หัวใจของเรา เข้าสู่หัวใจของเรา
สิ่งที่เราหามา เราลงทุนลงแรง เราทำมาด้วยน้ำพักน้ำแรงเราทั้งสิ้น แล้วเราเสียสละเสียสละเพื่ออะไร เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ที่มันมีความทุกข์ความยากในใจของเรานี้ ถ้ามีความทุกข์ความยากในใจของเรา เราทำบุญกุศลเรา ทำบุญกุศลให้มันมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญาทำให้คนฉลาด ทำให้คนฉลาดก็อารมณ์ของตน
เราฉลาดทำมาหากินนั่นเรื่องหนึ่งนะ แต่คนเรามันมีเวรมีกรรมขึ้นมาทั้งสิ้น คนเราเกิดมา เราได้ทำบุญกุศลเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ๆ ไง ถ้าเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นสัตว์ทุกข์ยากกว่านี้นะ
ในพระไตรปิฎกไง เวลาวัวควายมันจะเสียชีวิตไปน่ะ มันรำพึงรำพันนะ มันเกิดมาเป็นสัตว์มันต้องแบกแอก ต้องไถนา ต้องทำให้คนเจ้าของมันพอใจ แล้วสุดท้ายแล้วเขาก็ตี เวลาจะหิวกระหาย จะกินของเรานะ ถ้าเจ้าของเขาไม่ผ่อนเชือกก็ไม่ได้กิน เวลาเขามารำพึงรำพันไง รำพึงรำพันนะ เห็นมนุษย์ มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ จะทำสิ่งใดก็ได้ไง
แต่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์เราก็ทุกข์เราก็ยากของเรา เราทุกข์เรายากเพราะอะไร เราทุกข์เรายาก คนเราเกิดมามีอาการ ๓๒ เสมอกัน มีมือมีเท้าเหมือนกัน ทำมาหากินเหมือนกัน ทำมาหากินเหมือนกันนะ สิ่งที่ด้วยเวรด้วยกรรมของคน ถ้าทำสิ่งใดทำแล้วไม่เสมอเขาๆ เราก็บากบั่นของเรา เราก็มีการกระทำของเรา เราทำเพื่อความประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา ถ้ามันยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา เราต้องมีกำลังใจไง
เวลาเสียสิ่งใดเสียได้ทั้งสิ้น อย่าเสียกำลังใจของตน
ถ้าเสียกำลังใจของตน เราพยายามมานะบากบั่นทำของเรา ทำคุณงามความดีๆ
แล้วเราก็ตีโพยตีพายว่าเราก็ทำคุณงามความดีเหมือนทุกคน ทำไมบุญกุศลไม่ตอบสนองๆ ทำไมคนอื่นเขาตอบสนอง เวลาคนอื่นเขาทำน้อยกว่าเรา เขาทำชั่วกว่าเรา ทำไมเขาได้ผลตอบสนองของเขา
ไอ้นั่นมันเป็นกรรมของสัตว์ๆ กรรมของสัตว์นะ คนที่มีสติปัญญาเขาทำแต่คุณงามความดีของเขา ได้มาด้วยความสุจริต ได้มาด้วยความเป็นธรรมาภิบาล คนที่เขาทำทุจริตๆ เขาก็ได้ของเขา แต่การได้มามันทุจริต
ดูสิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยความสุจริต ด้วยความทุจริต ถ้าได้มาด้วยความสุจริตของเรา เราจะสร้างคุณงามความดีต่อเนื่องของเราไป ถ้ามันขาดตกบกพร่อง ขาดตกบกพร่องมันก็เป็นบุญกุศลของเรา มันเป็นเรื่องของเรา เราจะไปตีโพยตีพายไปกับใครทั้งสิ้น เราทำของเราๆ
เพราะกรณีอย่างนี้มันเปรียบเหมือนกับเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราจะมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง
เราอยู่ในวงปฏิบัตินะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มีครูบาอาจารย์เหลือมาเท่าไร เวลาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นหมื่นเป็นแสน สิ่งที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านชื่นชมนะ ว่าหลวงปู่มั่นเป็นโรงงานใหญ่ โรงงานใหญ่ โรงงานใหญ่สร้างบุคลากรธรรมทายาทๆ
พระอรหันต์ในสมัยปัจจุบันนี้ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ของเรานะ เป็นพระอรหันต์ๆ มันมาจากไหน มันมาจากไหน
มันมาจากโรงงานใหญ่ คือจากสติ จากปัญญา จากการคุ้มครอง
หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดเลย “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา”
การเป่ากระหม่อม เห็นไหม เวลาภาวนาไป คนเราถ้ามีปัญญามากน้อยแค่ไหน กิเลสมันท่วมหัว เพราะว่าอะไร เพราะสวะ น้ำขึ้นก็ขึ้นตาม น้ำลงก็ลงตาม คนที่ปัญญาน้อย สวะมันก็อยู่ต่ำๆ เพราะน้ำมันน้อย เวลาน้ำมันมาก สวะมันก็ขึ้นสูงตาม
คนที่ฉลาดขนาดไหน ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญานะ มันเที่ยวทำลายเขาทั้งสิ้น แล้วคนอย่างนี้มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่สูงกว่า ครูบาอาจารย์ที่มีบารมีมากกว่าคุ้มครอง นี่เป่ากระหม่อมมาๆ ไง
พระอรหันต์แต่ละองค์ หลวงปู่ฝั้นท่านมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน หลวงปู่ขาวท่านระลึกถึงตัวของท่านขนาดไหน แล้วคนมีสติปัญญาขนาดนี้ ถ้าคนที่ไม่มีสติปัญญาที่เหนือกว่า ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีที่เหนือกว่า มันจะเอาอยู่ได้อย่างไร เอาอยู่ เอาอยู่คือหัวใจ
หัวใจที่เชื่อฟังครูบาอาจารย์นะ เขาเรียกว่าลง ลงธรรมๆ
ถ้ามันไม่ลงธรรมมันฝืน มันต่อต้าน มันทำลาย มันเจาะ มันยุ มันแหย่ มันแบ่งแยก นี่เวลาถ้ามันเป็นกิเลสนะ
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ ยอมรับ ครูบาอาจารย์ต้องพิจารณาของท่านแล้ว พิจารณาของท่านแล้ว จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน คนที่เรียบง่าย คนที่เรียบง่ายก็สอนด้วยความเรียบง่าย คนที่คึกคะนองท่านต้องสอนด้วยปฏัก เห็นไหม การสอนคนมันสอนไม่เหมือนกันหรอก ถ้าสอนเหมือนกันมันเป่ากระหม่อมใครมาไม่ได้หรอก เวลามันเป่ากระหม่อมมาๆ ไง
หลวงตาท่านพูด ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นหมื่นเป็นแสน เหลือมาเท่าไร
หลวงตาพระมหาบัวท่านฝึกฝนคนมาเยอะมาก แล้วเวลาท่านจ้ำจี้จ้ำไชนะ ถ้า ๓ วันท่านไปตรวจกุฏิ ถ้ายังไม่ภาวนานะ ท่านไล่ออกหมด ถ้า ๓ วัน วันแรกท่านให้อภัย วันที่ ๒ มันอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าวันที่ ๓ นะ ท่านจะพูดเลย “ท่านไปเถอะนะ เราไม่มีวาสนาสอนท่านหรอก”
ท่านไปเช็กไปดูๆ เห็นไหม เราจะบอกว่า เราทำมาหากินว่าเราทุกข์เรายาก
หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้ายังไม่ได้ไปปฏิบัตินะ อย่าเพิ่งพูดว่างานนั้นแสนสาหัส
เวลาประพฤติปฏิบัติ คนถ้ามีสติมีปัญญานะ เวลากิเลสมันล่อมันหลอก กิเลสมันทำลายนะ มันจะทำให้เสียชีวิตไป ว่ามึงตายๆๆ เวลาครูบาอาจารย์ อะไรตายก่อน ขอดู อะไรตายก่อน ขอดู
ไอ้ที่บอกว่าเวลามึงตายๆ เราเลิกแล้วแหละ เพราะอะไร เพราะสังคมโลกไง นักวิทยาศาสตร์ไง ธรรมดาของร่างกายมันต้องการอาหาร คนเราทำงานต้องมีการพักผ่อน จะทำเกินกว่าเหตุไปไม่ได้ เดี๋ยวเป็นคนพิการ เดี๋ยวจะเป็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวจะไม่มีเวลาไปทำงาน
แต่พระนะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืน แล้วตลอดชีวิตตั้งแต่บวชมา ถ้าคนประพฤติปฏิบัติโดยความต่อเนื่อง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยต้องพระอนาคามี
คำว่า “พระอนาคามี” ไง นี่ไง เราจะบอกว่าเวลาปฏิบัติมันก็เหมือนที่เราทำมาหากินนั่นแหละ เวลาทำมาหากินบางคนก็ประสบความสำเร็จ บางคนก็ยิ่งใหญ่ บางคนก็ทุกข์ก็ยาก ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของตน เห็นไหม
ทีนี้เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาไง บัว ๔ เหล่า บัว ๔ เหล่าไง ถ้าบัว ๔ เหล่า ถ้ามันได้สร้างบุญกุศลมา ถ้ามันสร้างบุญกุศลมามันจะมีความฉงนสนเท่ มันจะคอยคิด คอยพิจารณา ไอ้นั่นเป็นอย่างนี้ ไอ้นี่เป็นอย่างนั้น คนที่มีปัญญาเขาไม่นอนใจไง มันไม่นอนใจ
ไอ้คนที่บวชมาแล้วนอนใจ หลวงตาท่านบอกกินแล้วนอน กอนแล้วกิน มันก็เป็นหมูไง นี่ไง สิ่งนั้นเพราะมันนอนใจกับชีวิตของตนไง
ชีวิตของตนนะ หายใจเข้าไม่หายใจออก ตาย แล้วถ้าหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย
นี่พูดถึง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ว่าเราทุกข์เรายากๆ โดยสัจจะนะ มันไม่มีใครทำให้ใครทุกข์ใครยากหรอก มีแต่เวรกรรมของตนเท่านั้น เวรกรรมของตนนั่นน่ะ ที่ตนทำมาน่ะ ทีนี้พอตนทำมาขึ้นมาก็มีสติปัญญานี่ไง สติปัญญามันก็คัดมันก็แยกเอานะ สิ่งที่ไม่ดีนะ เราฝืนทน เว้นไว้แต่มันมีความจำเป็นนะ จำเป็นก็แค่นี้นะ ไม่มีต่อไปอีก
เวลาคนเรามีความจำเป็น เวลาไปเกิดอัตคัดขาดแคลนมันต้องรักษาชีวิตรอดไปน่ะ คนเราถ้ามีความจำเป็นๆ ความจำเป็นก็เป็นครั้งคราว ถ้ามีความจำเป็นนะ อนุโลมให้
เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าท่านนั่งตลอดรุ่งๆ พอนั่งตลอดรุ่งขึ้นมา เวลากิเลสมันก็ต่อรองไง มันอยากจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ท่านบอกว่าห้ามเด็ดขาด ห้ามลุก เว้นไว้แต่หลวงปู่มั่นท่านป่วยหรือพระในวัดมีปัญหา อย่างนี้อนุญาตให้ลุกได้ มีความจำเป็น เว้นไว้แต่ ถ้าเว้นไว้แต่
นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำคุณงามความดีๆ ของเรา แต่ถึงเวลามีความจำเป็นๆ ความจำเป็นก็ครั้งเดียวนะ อย่าให้มีอีกนะ เพราะมีแล้วมันจะมีสองมีสาม จำเป็นเรื่อยไปเลย จำเป็นตลอดเลย มันก็เสียไป เสียคือเสียนิสัย นิสัยถ้ามันเสียไปแล้วมันจะฟื้นฟูได้ยาก
แต่ถ้ามันนิสัยแล้วเรารักษาของเราไว้นะ เห็นไหม เวลาพระไปขอนิสัยๆ ไง ขอนิสัยครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ขอนิสัยท่าน เอานั่นเป็นตัวอย่าง แล้วอยู่ในระบบระเบียบอย่างนั้น แล้วมันจะพัฒนา มันจะได้นิสัยมา ถ้าได้นิสัยมา เวลาได้นิสัยมาแล้วจะประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
“หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา”
ถ้าไม่เป่ากระหม่อมมานะ เวลาคนภาวนาไปแล้วนะ กิเลสนี้มันร้ายมาก มันจะยุมันจะแหย่ว่าเราเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ รู้รอบไปทั่วโลกจักรวาล รู้ไปหมดเลย...รู้โดยนิยายไง นิยาย ตำรา นี่ไง มันเสกสรรปั้นแต่งให้ไง
ยิ่งใหญ่ๆ ดูสิ เราไปดูหนังดูละคร เขาสร้างให้เราดูใช่ไหม เวลากิเลสมันสร้างภาพให้เราดูไง มันใส่มงกุฎให้เลย เป็นจักรพรรดิ ครอบสามโลกธาตุ ก็ความคิดมึง ก็ความจริง ก็มันคิดได้จริงๆ ก็มันคิดน่ะ แต่ถ้าเป็นเป่ากระหม่อมมา นี่สมมุติบัญญัติ
เวลากิเลสมันหลอกเอ็งไม่รู้ตัวเลยนะ เวลามันหลอกไปทำความชั่ว ทำความเลวทราม มันได้ทำได้เห็น เพราะมันเป็นวัตถุ มันเห็นได้ง่าย เวลามันคิดขึ้นมาในหัวใจขึ้นมาแล้วมันหลอก หลอก “ภาวนาไปแล้วสงบเลย โอ้โฮ! เป็นพระอินทร์ลอยมาเลย” นี่ความยิ่งใหญ่ของมันไง ความยิ่งใหญ่ของกิเลส
แต่ถ้าครูบาอาจารย์นะ หลวงปู่ดูลย์ท่านพูด ที่เห็น เห็นจริงไหม
จริง
ทำไมจะเห็นไม่จริง ถ้าเราเห็นไม่จริงมันจะหลอกเราได้หรือ ก็เราคิดเอง เห็นเอง รู้เอง ทำไมมันจะไม่จริง จริงทั้งนั้นน่ะ
เห็นจริงไหม จริง แต่สิ่งที่เห็นไม่จริง ไม่จริงหรอก
มันจะเป็นจักรพรรดิ จะเป็นยิ่งใหญ่ จะเป็นสิ่งใด มันต้องทำให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลาธรรมโอสถ เวลามันครอบโลกธาตุ เกิดปีติเท่านั้นเองนะ
เวลานั่งไป คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี เวลานั่งไปแล้วตัวมันจะขยาย จะพอง จะใหญ่ขึ้น มันนั่งครอบโลกธาตุนี้เลย โลกนี้เหมือนปลายเข็ม เรานั่งครอบมันเลยนะ นั่นน่ะความรู้สึก นั่นแค่ปีตินะ แต่คนไม่มีสติปัญญามันก็ว่า โอ้โฮ! มหัศจรรย์ๆ แต่ถ้าคนผ่านมาแล้วก็เรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาเพราะอะไร
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน พันธุกรรมของจิตๆ จิตของใครมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตของใครมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน เวลามันพิจารณาไปแล้ว มันภาวนาไปแล้ว เวลาภาวนาไปแล้วนะ เวลากิเลสมันขาดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ไง อำนาจวาสนาบารมีของคนไม่เท่ากัน แต่ศีล สมาธิ ปัญญาต้องเหมือนกัน
ศีล สมาธิ ปัญญาคืออริยสัจ คือสัจจะ คือความจริง ทุกข์เหมือนกัน
คนเกิดมาร่ำรวยมั่งมีศรีสุขทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์เหมือนกัน ทุกข์เหมือนกัน คนมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มันควบคุมสติแล้วทุกข์นั้นจะเบาบางลง ทุกข์นั้นจะเบาบางลงเพราะปัญญาเราผ่อนคลาย
เราจะเทียบเขา จะเทียบเขาด้วยความเป็นมนุษย์ แต่เราจะไม่เทียบเขาด้วยอำนาจวาสนา เราจะมีความขยันขันแข็งของเรา เรามีความขยันขันแข็งของเราเพราะอะไร เพราะเราทำมาอย่างนี้ ถ้าเราทำมาอย่างนี้ เรามีเหตุมีผลอย่างนี้ เราก็พยายามขวนขวายของเราอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่ถ้ามีสติปัญญา เราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจอะไรล่ะ เวลาเราขี้เกียจขี้คร้าน เราไม่ทำขึ้นมา เราไม่เคยทำอะไรมาเลย
ดูสิ ดูอย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขาซื้อนะ เขาซื้อที่ของเชตวัน เขาเอาแบงก์เขาปูเลย เขาทำมาของเขาอย่างนั้น เวลาเขาทำมาอย่างนั้น พระสีวลี พระสีวลีเขาทำของเขามาอย่างนั้น เพราะเขาทำของเขามา
แล้วเขาทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ ไม่ได้ทำด้วยมารยาสาไถยแบบพวกเรานี่
พวกเราไปศึกษาธรรมะมาแล้วทำมารยาสาไถยจะทำให้เหมือนๆ ทำให้เหมือนแต่มันไม่เหมือน ไม่เหมือนที่เจตนา ไม่เหมือนที่สติปัญญาที่รักษาหัวใจของตน ทำเลียนแบบไง สูตรสำเร็จไง เวลาเดินจงกรมก็เดินแบบสูตรสำเร็จ เขาเดินทั้งวันทั้งคืน เราก็ทั้งวันทั้งคืน เดิน ๗ วัน ๗ คืน ก็ ๗ วัน ๗ คืน แต่เดินแบบหุ่นยนต์ไง
เวลาเขาเดิน เขาเดินด้วยสติปัญญา ด้วยการพิจารณาของเขา ด้วยปัญญาของเขา ด้วยการแยกแยะของเขา เขาเดินเพื่อการฝึกฝน เพื่อให้เกิดมรรคเกิดผลในใจของเขา
ไอ้เราก็เดินให้เหมือนไง รูปสวย ตั้งกล้องถ่ายรูปไว้ด้วย ไปลงเว็บไซต์ มึงดูสิ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเลยล่ะ ถ่ายสดๆ นะ มีตัวเลขขึ้นด้วย ทุกวินาทีเลยนะ ไม่มีการแปลกปลอม
นี่ไง รูปแบบของโลก รูปแบบของวัตถุ
แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านพิจารณาของท่าน ท่านใช้ปัญญาของท่าน ท่านใช้ปัญญาของท่าน นี่ไง มันอยู่ที่วาสนา
เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านจะภาวนานะ ให้ใครเห็นไม่ได้ มันเสียความขลัง ถ้าความขลัง ขลังคือว่าขังคุก ขังจิต ขังทุกข์ในใจของเรา เผชิญหน้ากันตัวต่อตัว ไม่มีใครมันจะให้คะแนน ตัดคะแนนของเราได้
แต่ทางโลกจะทำดีเล็กน้อยมันโฆษณาของมันนะ โฆษณาแล้วโฆษณาอีก มันอยากได้ความดีของมัน
ความดีอย่างนั้นน่ะหรือ ความดีอย่างนั้นใช่ไหม เวลาในใจปฏิบัติแล้วมันจะมีอะไรตกค้างในใจบ้าง
ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านทำดีทิ้งเหวทั้งสิ้น ทำดีไม่ให้ใครรู้ ดูสิ เวลาภาวนามันไม่ขลัง ถ้ามันขลัง ทางจงกรมทำไว้ในป่า นั่งสมาธิต้องคนหลับหมดแล้วถึงนั่ง ไม่ให้ใครเห็นทั้งสิ้น แล้วเวลาเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงขึ้นมา คนที่เป็นจริงเขาเป็นจริงอย่างนี้ นี่คือความเข้มแข็งของหัวใจ เข้มแข็งของหัวใจ แล้วอย่างนี้กิเลสมันหลอกไม่ได้ไง
ไอ้นี่เหมือนกัน เดินจงกรมใครจะมองเราหรือยังวะ เออ! ถ้ามองกูจะเดินเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าไม่มองกูรอก่อน รอคนมาเห็น
แล้วนี่มันฆ่ากิเลสหรือมันเพิ่มกิเลสเนี่ย มันทำลายหรือมันเพิ่ม เขาแข่งดีแข่งชั่ว จะแข่งความดีกันไง เอาความดีมาแข่ง เขาเห็นกูหรือยังวะ เออ! ถ้าเขาเห็นเดินหน่อย ตั้งกล้องด้วย
แต่ครูบาอาจารย์เราไม่มีหรอก ท่านจะข่มกิเลสในใจของท่านเพื่อปฏิบัติในใจของท่าน แล้วถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก
อัตตสมบัติ สมบัติในหัวใจนี้สำคัญมากนะ สมบัติในหัวใจ
เราเห็นแต่สมบัติทางโลกใช่ไหม เราก็มองเห็นได้ทั้งสิ้น สมบัติทางโลกใครมีมากมีน้อยมาวัดกันด้วยสถิติ ด้วยการจดทะเบียน แต่ความดีความชั่วของคนอยู่ในหัวใจน่ะ แต่คนทำดีทำชั่วมันเผาลนหัวใจนะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเผามันลนขึ้นมา ชักไฟออกๆ ฟืนในใจที่มันเผา เคยทำอะไรไว้บ้าง ผิดอย่างนั้นๆๆ ฟืนทั้งนั้นน่ะ ฟืนไฟมันเผาเราทั้งนั้นน่ะ ใครทำอะไรไว้มันจำได้หมด ความลับมีในโลกที่ไหน คนทำมามันรู้ แล้วจะชักมันออกอย่างไร ที่มันเผาๆ อยู่นี่ มันเผาเพราะอะไร เผาเพราะมันจำได้เองไง เวลาความดีจำไม่ได้ เวลาโกรธใครนี่จำแม่นๆ เลย เวลาความดีจำไม่ได้ทั้งสิ้น
เราเอาคุณงามความดีๆ ฝึกหัด สอนใจของเรา สั่งสอนมัน แล้วเวลาสั่งสอนมันแล้วดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มองครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติมา
เราก็มนุษย์นะ เวลาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ “ประชาธิปไตยๆ มีสิทธิเท่าเสมอกัน”
เวลาเขาเดินจงกรม เขานั่งสมาธิภาวนาเอ็งไม่ทำ เวลาเขาเสียสละขึ้นมา ทำไมเอ็งไม่เสียสละล่ะ เขาเป็นคนดี ทำไมเอ็งเป็นคนชั่วล่ะ เขาคุ้มครองคนอื่น ทำไมเอ็งรังแกเขาล่ะ เอ็งทำลายเขาทั้งสิ้น
“สิทธิเสรีภาพๆ”
สิทธิของกิเลสไง กิเลสมันคุ้มหัวมึง ครอบหัวมึงด้วย แล้วมาเรียกร้องสิทธิ์เอาอะไร
แต่คนทำความดีๆ เขาไม่เรียกร้องสิทธิ์เลย เพราะอะไร เพราะสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไม่มีใครมาแย่งมาชิง ความดีของเราใครแย่งใครชิงเราได้ สิ่งที่เราทำมา ใครแย่งใครชิง
โลกธรรม ๘ เขาด่าทั้งนั้นน่ะ ด่าเพราะอะไร ด่าเพราะไม่ได้ทำชั่วเหมือนมันไง มันทำชั่วแล้วมันต้องให้คนอื่นชั่วเหมือนกูหมดเลย กูอายเขา แต่ถ้าคนทำความดีมันเที่ยวติฉินนินทาเขา
แล้วไปกลัวอะไร เราเป็นอย่างเขาว่าหรือเปล่า ถ้าใครติฉินนินทา เรื่องของโลกๆ เลย เชิญ ตามสบาย แต่ให้มีสติ ให้มีปัญญา สร้างคุณงามความดีของเรา
ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง เรามาวัดมาวาเพื่อถือศีลกัน ถือศีล บุญกิริยาวัตถุ มือไม่ทำอะไร นั่งเฉยๆ บุญกิริยาวัตถุ ถ้าไม่อย่างนั้นมือมันจะไปจับไปฉวย จะไปหยิบสิ่งใด เราละ นี่บุญ
การเดิน การนอนเพื่อความสุขสบาย ไม่ นั่งบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกร่างกายนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุญกิริยาวัตถุ นี่ไง เราทำคุณความดีที่ละเอียดขึ้นๆ
ทาน ศีล ภาวนา
เวลาภาวนาเกิดสติปัญญาขึ้นมา คนเราทำไมไม่ปรารถนาความสุข ทำไมคนไม่อยากกินอิ่มนอนอุ่นทั้งนั้น ทุกคนปรารถนาทั้งสิ้น ทำไมต้องมาอดมาอยาก ทำไมต้องมาถือศีล มาเพื่อบังคับตนเอง
ก็บังคับตนเองเพื่อให้มันเห็นโทษไง กินแค่มื้อเดียว อดนอนผ่อนอาหารก็ดำรงชีวิตได้แล้ว กิเลสมันดิ้นมันรน มันอยากได้อยากดีอยากเด่น อยากเอาตามใจมัน แล้วเรากระหืดกระหอบไปตามมัน เดี๋ยวนี้เรามีสติปัญญาเท่าทันมันแล้ว เราจะภาวนาของเรา นี่มันละเอียดเป็นชั้นๆๆ เข้าไป ถ้าคนมันฉลาด
แต่โลกมันด่ากันเช็ด “ไอ้พวกไปวัดนี่ไอ้พวกมีปัญหา กูอยู่บ้านนี่สุดยอด”
มึงทุกข์อยู่นั่นมึงยังไม่รู้ตัว ไอ้คนที่เขาไปเพราะเขารู้ถึงศักยภาพของเขา เขาขวนขวายของเขา อัตตสมบัติของเขา
เวลาคนจะสิ้นชีวิตไป บุญกุศลเราพร้อม เสบียงเราพร้อม ทุกอย่างเราพร้อม จะตายเมื่อไหร่บอกมา จิตตคหบดีเวลาตาย รถสวรรค์มารับเลย
เราทำของเราเพราะเรามีสติปัญญาของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์มีสติปัญญาแค่นี้ วันนี้วันพระขึ้นมา เราจะขวนขวายหาคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเราให้กิเลสมันมาแบ่งไปทำไม ให้กิเลสมาตัดทอนไปทำไม เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ
โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทามันมีมาแต่ไหนแต่ไร จะไปเชื่อไปฟังมันทำไม ทำไมเราไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ปัญญาเพื่อฟื้นฟูหัวใจของเรา เพื่อฟื้นฟูศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี้มีสติปัญญาขนาดไหน เรากว้านเอามาสมบัติของเรา ทำเพื่อเราๆ ไง วันนี้วันพระ เอวัง